-เรื่องราวในอดีต-
ลึกภายในนาฬิกา ออมบริคกำลังตีลังกาอยู่ในมิติเวลาที่กราดเกรี้ยว โลกรอบตัวเขาได้เปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืนอย่างรวดเร็ว เร็วเสียยิ่งกว่าการกระพริบตา เขาเห็นฤดูกาลผ่านไปภายในเสี้ยววินาที ศตวรรษผ่านไปอย่างรุนแรง เขามองขึ้นไปยังดวงอาทิตย์และดวงดาวที่หมุนโคจรในความเร็วเท่ากับจรวด วัน คืน วัน คืน เร็วเสียยิ่งกว่าการอธิบายใดๆ พระจันรทร์ก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน และภายในช่วงเวลาแวบหนึ่งเขามองเห็นการระเบิดของเรือรบ เรือรบของพิทช์ และการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายในยุคทองแห่งอาณาจักรเวทมนตร์
ออมบริคไม่ได้กังวลใดๆ เขาสามารถชะลอการเดินทางของเขาได้ และกลับบ้าน แต่ถ้าแผนของเขาได้ผล เขาไม่จำเป็นต้องยกเลิกมัน
เขาเริ่มที่จะลอยออกไปจากผิวโลก ลึกลงไปยังห้วงอวกาศ เขาเดินทางผ่านเวลาซึ่งดาวตก อุกาบาต ดาวเคราะห์ และกาแลคซีเริ่มที่จะส่องแสงรอบตัวเขาราวกับพลุไฟ
ออมบริครับรู้ว่าแสงวาบที่เขามองเห็นนั้นก็คือ จุดจบของโลกในยุคทอง สิ่งที่เขามองเห็นคือเรือรบของพิทช์ได้ระเบิดดวงดาวมากมาย พ่อมดเฒ่าสานต่อการเดินทางท่องเวลาของเขา ดูเหมือนว่าจักรวาลจะเริ่มส่องสว่างขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง
เรือบินของยุคทอง ได้ลอยอยู่บนท้องฟ้ารอบกายเขา นั่นไง! ช่วงเวลาที่เขาได้ทำการศึกษามาแสนนาน แต่ไม่เคยฝันว่าจะได้มาเห็นจริงๆ ปรากฏขึ้นมาแล้ว เขาปลื้มใจมาก เมืองที่พ่อมดคนนี้เห็นช่างสวยงาม ยิ่งใหญ่ และเปี่ยมไปด้วยเวทมนต์ยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้มาก่อน มันทำให้เขาใจสลายเมื่อตระหนักถึงการทำลายล้างความมหัศจรรย์และความรื่นเริงในช่วงเวลานี้ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน เขาต้องตั้งใจมากขึ้นหากต้องการสานต่อแผนการนี้ให้จบ
ไม่นานนัก ออมบริคพบว่าตนเองอยู่ที่ดาวคุกซึ่งเกือบจะถูกลืมแห่งหนึ่ง คุกแห่งนี้แทบไม่มีผู้ใดรู้จัก มันเปลี่ยวเหงาและแปลกแยก แต่มันเป็นสถานที่ที่เหล่า "ความกลัว" ถูกขังเอาไว้ในที่จองจำใต้ดินแน่นหนา หลังจากที่กองทัพแห่งยุคทองได้ปราบและกักขังพวกมัน
เมื่อเวลาสงบลง เขาหยุดการเดินทาง ช่วงเวลาเดียวในตอนก่อนที่พิทช์จะถูกครอบงำและเหล่าความกลัวได้หนีไป ออมบริคซ่อนอยู่หลังเสาหินขนาดใหญ่ ห่างออกไปจากพิทช์ซึ่งกำลังยืนคุ้มกันอยู่ที่หน้าประตูห้องขัง...ซึ่งมีอยู่ห้องเดียวบนดาวแห่งนี้
มันช่างน่าจดจำที่ได้เห็นศัตรูคู่อาฆาตของตนเป็นเช่นไรก่อนที่มันจะเปลี่ยนกลายเป็นปีศาจ ทุกๆตารางนิ้วของพิทช์ เขาดูเป็นวีรบุรุษอย่างเต็มเปี่ยม กำยำ กล้าหาญ องอาจ และสง่างามในชุดเครื่องแบบทหารของแม่ทัพแห่งยุคทอง แต่...สีหน้าของเขาช่างเหนื่อยล้า และย้อมไปด้วยความเศร้าโศก
จากเบื้องหลังประตูบานใหญ่ ออมบริคได้ยินเสียงโหยหวน เสียงประซิบ และเสียงโอดครวญของเหล่านักโทษ...เหล่า"ความกลัว" เสียงรบกวนเหล่านี้ดังกระหึ่มขึ้นจนแทบหูแตก แล้วก็เบาลงๆจนแทบจะไม่ได้ยิน...มันเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
"ช่างเป็นเสียงที่ย่ำแย่มากๆ" ออมบริคนึกคิด มันเป็นปีศาจ การที่ต้องได้ยินมัน ทั้งวัน ทั้งคืน ทุกวัน ทุกคืน สามารถทำให้มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนไหน กลายเป็นบ้าได้ และแน่นอน เสียงห่าผีพวกนี้ได้ส่งผลกระทบต่อพิทช์ ใบหน้าของเขาหม่นหมอง แม่ทัพคนนี้กำมือแน่นจนสั่นระริกด้วยความอดกลั้น
แต่ทันใดนั้นเองเขาก็ดึงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นล๊อคเกตที่ทำมาจากเงิน สายโซ่ของมันคล้องอยู่ที่คอของเขา เขากดตัวล๊อคแล้วมันก็เปิดขึ้น เผยให้เห็นถึงภาพเล็กๆภาพหนึ่ง ออมบริคสามารถเดาได้ว่ามันเป็นใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยๆ พิทช์จดจ้องใบหน้าในรูปภาพนั้น ราวกับว่ากำลังซึบซับการปลอบใจจากมัน สีหน้าของเขาอ่อนลง และความเศร้าหมองก็คลายลงไป
ออมบริครู้การแสดงออกนั้น... เขาเห็นมันมาจนนับไม่ถ้วน มันคือสายตาของพ่อ ซึ่งกำลังมองดูลูกรัก พิทช์มีลูกสาว! พ่อมดเฒ่ารู้สึกได้ว่าพิทช์ปรารถนาที่จะได้เจอตัวลูกของเขาจริงๆ ไม่ใช่ในรูปภาพ
...
เหล่าความกลัวสัมผัสได้ถึงความปรารถนานี้เช่นกัน
มันส่งเสียงโอดครวญแปลกประหลาดในโทนเสียงที่เปลี่ยนไป...มันกำลังเลียนแบบเสียงเล็กๆของเด็กหญิงตัวน้อย "พ่อค่ะ ได้โปรด...พ่อค่ะ" มันกระซิบ "ได้โปรด...ได้โปรดช่วยเปิดประตูให้หนูหน่อย คุณพ่อ...คุณพ่อ"
สะเก็ดแห่งความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพิทช์ ดวงตาของเขาสว่างไสวขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็หมองลง...เมื่อเขารับรู้ได้ว่าเสียงๆนั้นคืออะไร... เสียงหลอกล่อของเหล่าความกลัว เขายืนต้านปีศาจพวกนั้น ยกไหลขึ้นมาด้วยความกล้าหาญ และกัดฟันเอาไว้ แต่ความกลัวเหล่านั้นก็เริ่มที่จะร้องขออีกครั้ง
"พ่อจ๋า" มันร้องไห้ "หนูติดอยู่ในนี้ กับเงามืดพวกนี้ และหนู...หนูกลัว...ได้โปรด คุณพ่อ เปิดประตู ช่วยหนูออกไป พ่อจ๋า ช่วยหนูที"
พิทช์ดูที่รูปภาพในล๊อคเกตนั้นอีกครั้ง เสียงอ้อนวอนเหล่านั้นพัฒนาความน่าสงสารมากขึ้นไปอีกมาก พัฒนาการสะกดจิตมากขึ้นไปอีก ออมบริครับรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามที่จะกันพิทช์จากการเปิดประตูบานนั้นก่อนที่พูก้าลึกลับตัวหนึ่งโผล่ออกมา ออมบริคพบว่าตนเองไม่สามารถขยับได้ หรือแม้แต่ส่งเสียงออกมาได้
อี เอสเตอร์ บันนี่มัน จับมือของเขาเอาไว้ และส่ายหัว "ไม่ได้นะ...ทำไม่ได้นะ" ชาวพูก้าเตือน
เหล่านักพรตบอกออมบริคเอาไว้ว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในช่วงกาลเวลาได้ เขาทำได้เพียงแต่จ้องมองมัน ชาวพูก้า...บันนี่มัน เหมือนจะมาเพื่อหยุดการกระทำนี้ของเขา
ออมบริคละสายตาจากชาวพูก้ากลับไปพิทช์ ในช่วงเวลาเขากำลังจะได้เป็นพยาน ในความทุกข์ทรมาณและความตื่นตระหนกของผู้คุมคนนี้ มันปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้น ความเศร้าโศกของพ่อ ที่รักลูกและพยายามช่วยลูกสาวจากเหล่าปีศาจความกลัว
ขณะนั้นเอง ประตูก็เปิดกระชากขึ้น สิ่งที่ออกมามีแต่คลื่นม้วนตัวของความมืด หมุนเวียนราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต แน่นอน ลูกสาวของพิทช์ไม่ได้อยู่ที่นั่น และก่อนที่พิทช์จะได้แม้แต่เรียกชื่อของเธอ เขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยเงามืดมหาศาล ก่อนที่มันจะคงรูปออกมา มันกลับเททะลักลงมา...สู่เขา!
มันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัว น่าสยองขวัญ เป็นภาพหนึ่งที่ออมบริคจะไม่มีวันลืมได้เลย
พิทช์ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่เขาก็ยอมแพ้และเชื่อฟังแก่เหล่าปีศาจที่ทะลักท่วมท้นร่างกายของตน แปรเปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนเสียสติ เขาขยายร่างขึ้นไปเป็นสิบเท่าจากขนาดเดิม ใบหน้าของเขาเปลี่ยนกลายเป็นสัตว์ประหลาดและเต็มไปด้วยความโหดร้ายน่ากลัว
ออมบริคยืนจ้องอยู่เช่นนั้น ตื่นตะลึง ก่อนที่จะรู้สึกถึงสัมผัสของไม้คทาบนไหล่ เขาถูกส่งกลับสู่ช่วงเวลาปัจจุบันอีกครั้ง ก่อนที่ออมบริคจะจางหายไป เขามองเห็นพิทช์เงยหน้าตะโกนขึ้นไปบนฟ้า และคำรามเสียงหัวเราะชั่วร้ายของความกลัวนับหนึ่งหมื่นตนที่ไหลเวียนอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของร่างกาย...
